ตื่นมาปวดหัว? รวมวิธีแก้เมาค้างฉบับเร่งด่วน พร้อมเคล็ดลับป้องกัน

ค่ำคืนแห่งการสังสรรค์อาจเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เที่ยวเต็มที่อยู่ที่ Haus Bkk แต่เช้าวันรุ่งขึ้นอาจไม่สดใสอย่างที่คิด อาการเมาค้าง (Hangover) สามารถทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ บทความนี้จะพาไปรู้จัก วิธีแก้เมาค้าง ให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น พร้อมเคล็ดลับการป้องกันที่ดีที่สุด
ทำไมเราถึงเมาค้าง?
อาการเมาค้างเกิดจากหลายปัจจัยที่แอลกอฮอล์ส่งผลต่อร่างกาย:
- ภาวะขาดน้ำ (Dehydration): แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการกระหายน้ำ ปวดศีรษะ และอ่อนเพลีย
- การระคายเคืองกระเพาะอาหาร: แอลกอฮอล์เพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้อง
- การรบกวนการนอน: แม้แอลกอฮอล์จะช่วยให้หลับง่ายขึ้นในตอนแรก แต่มันจะรบกวนคุณภาพการนอนในช่วงครึ่งหลังของคืน ทำให้ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น
- การอักเสบ: ร่างกายอาจตอบสนองต่อแอลกอฮอล์ด้วยการสร้างการอักเสบ ซึ่งทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
5 วิธีแก้เมาค้าง ให้ฟื้นตัวไว
เมื่ออาการเมาค้างมาเยือน การดูแลร่างกายอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้เร็วขึ้น อาการเมาค้างหลังจากที่ได้ไปเที่ยว บาร์ลับ HAUS BKK
1. ดื่มน้ำ…เยอะๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือการชดเชยภาวะขาดน้ำ ควรเริ่มต้นวันด้วยการดื่มน้ำเปล่าแก้วใหญ่ และจิบน้ำเรื่อยๆ ตลอดทั้งวันเพื่อช่วยให้ร่างกายกลับสู่ภาวะสมดุล
2. เติมเกลือแร่ที่สูญเสียไป นอกจากการสูญเสียน้ำ ร่างกายยังสูญเสียเกลือแร่ (Electrolytes) ที่สำคัญไปกับการปัสสาวะด้วย การดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬา น้ำมะพร้าว หรือน้ำซุปอุ่นๆ จะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
3. กินอาหารอ่อนๆ ช่วยชีวิต แม้จะรู้สึกคลื่นไส้ แต่การกินอาหารมื้อเช้าเบาๆ จะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดต่ำลงได้ดี อาหารที่แนะนำคือ:
- กล้วย: อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไป
- ข้าวต้ม หรือ โจ๊ก: ย่อยง่าย ให้พลังงาน และช่วยให้รู้สึกสบายท้อง
- ขนมปังปิ้ง หรือ แครกเกอร์: เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ช่วยดูดซับกรดในกระเพาะ
4. ยาแก้ปวด (เมื่อจำเป็น) และข้อควรระวัง! หากอาการปวดศีรษะรุนแรง การใช้ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือแอสไพริน (Aspirin) สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ข้อควรระวังสำคัญ: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อแก้เมาค้าง เพราะตับของคุณกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อกำจัดแอลกอฮอล์ การกินพาราเซตามอลเข้าไปอีกอาจเพิ่มภาระให้ตับและอาจเป็นอันตรายได้
5. พักผ่อนให้เต็มที่ ร่างกายต้องการเวลาในการฟื้นฟูตัวเอง หากเป็นไปได้ ควรหาเวลางีบหลับในระหว่างวัน การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและขจัดของเสียออกไป
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการแก้เมาค้าง
- “ถอนด้วยเหล้า” (Hair of the Dog): การดื่มแอลกอฮอล์ในตอนเช้าอาจทำให้รู้สึกดีขึ้นชั่วขณะ แต่นั่นเป็นเพียงการยืดเวลาของอาการเมาค้างออกไป และอาจนำไปสู่ภาวะติดสุราได้
- ดื่มกาแฟแก้วโต: คาเฟอีนอาจช่วยให้ตื่นตัวขึ้น แต่ก็มีฤทธิ์ขับปัสสาวะเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ภาวะขาดน้ำแย่ลงได้ หากจะดื่มกาแฟ ควรดื่มน้ำเปล่าตามเข้าไปด้วยมากๆ
- กินอาหารมันๆ ยามเช้า: การกินของทอดของมันอาจยิ่งทำให้กระเพาะอาหารที่กำลังระคายเคืองอยู่แล้วทำงานหนักขึ้น ควรเก็บอาหารประเภทนี้ไว้กิน “ก่อน” การดื่ม เพื่อช่วยชะลอการดูดซึมแอลกอฮอล์จะดีกว่า
วิธีที่ดีที่สุด: การป้องกันก่อนจะเมาค้าง
วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดอาการตั้งแต่แรก
- อย่าดื่มตอนท้องว่าง: ควรมีอาหารรองท้องก่อนเสมอ
- ดื่มอย่างมีสติ: กำหนดปริมาณที่จะดื่มและพยายามทำตามนั้น
- ดื่มน้ำสลับ: ทุกครั้งที่ดื่มแอลกอฮอล์ 1 แก้ว ควรดื่มน้ำเปล่าตาม 1 แก้ว
- เลือกเครื่องดื่มสีอ่อน: เครื่องดื่มสีเข้ม เช่น ไวน์แดง วิสกี้ หรือบรั่นดี มีสาร “คอนจีเนอร์” (Congeners) มากกว่า ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการเมาค้างรุนแรงกว่า
- นอนหลับให้เพียงพอ: การพักผ่อนที่ดีหลังการดื่มจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี
ท้ายที่สุด การดื่มอย่างรับผิดชอบคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่หากพลาดไป การดูแลร่างกายอย่างถูกวิธีตามคำแนะนำข้างต้น ก็จะช่วยให้คุณผ่านเช้าวันที่แสนทรมานไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น
ข้อมูลจากเว็บ tiewtourthai.com